กลับมาที่ 10,000 รูปแรกที่กดชัตเตอร์อีกครั้ง

อย่างที่เคยบอกไปใน blog คราวก่อนว่าช่วงเดือนที่ผ่านมาว่างมากขึ้นจนมีเวลากลับมาจับกล้องถ่ายรูป หลังจากไม่ได้จับกล้องเลยมา 3 ปีกว่า สิ่งนึงที่เราพบก็คือฝีมือการถ่ายภาพของตัวเองถอยหลังกลับไปช่วง 10,000 รูปแรกที่กดชัตเตอร์อีกครั้ง

บางคนอาจจะสงสัยว่าอะไรคือ 10,000 รูปแรกที่กดชัตเตอร์ คืองี้ Henri Cartier-Bresson ช่างภาพแนวแนว Street ระดับมหาอมตะนิรันด์กาลผู้ล่วงลับเคยกล่าวไว้ว่า “Your first 10,000 photographs are your worst” แปลเป็นภาษาไทยก็จะได้ความประมาณว่า “10,000 รูปแรกที่คุณกดชัตเตอร์น่ะคือรูปที่ห่วยที่สุดของคุณ”
Continue reading

พี่ขอสั้นๆ กะ Surface 2 – 5 ชอบ 5 ไม่ชอบ

พอดีคุณแฟนได้รับ Microsoft Surface 2 กะ type cover จากทาง Microsoft มาทดสอบ เราเลยจิ๊กมาใช้ทำรายงานก๊อกๆ แก๊กๆในช่วงหยุดสงกรานต์ หลังจากใช้มาได้ 3-4 วันเลยขอเขียนถึงมันซักนิดนึง

สิ่งที่ชอบ : 1. งานประกอบ เนี้ยบมากกกกกกกกกกกกก คุณภาพงานประกอบดีมาตั้งแต่ Surface RT แล้วและยังคงทำได้ดีเช่นเดิม

2. Type Cover ตอนใช้ครั้งสองครั้งแรกรู้สึกไม่ค่อยชอบ feeling การพิมพ์ของมันเท่าไหร่เพราะใช้คีย์บอร์ด ThinkPad มานานเลยไม่ชอบคีย์บอร์ดที่ feedback ต่ำ แต่พอใช้ไปซักพัก อืมมม มันก็เข้าท่าอยู่นแถมยังมีไฟ backlit ส่องด้วย แต่ในระยะปานกลางถ้าเก็บรักษาไม่ดี หรือใช้สมบุกสมบันสกปรกแน่นอน

3. จอ full hd เอามาดูถ่ายทอดสดเทศกาลดนตรี Coachella เปิดความละเอียดสูงสุดแล้วฟินแท้

4. Microsoft Office นี่เป็น Killing Feature ของ Surface 2 อย่างแท้จริง เพราะสามารถใช้งานได้แบบ full function แบบเดียวกันกับบน Microsoft Office 2013 และตัดคำได้สมบูรณ์แบบซึ่งเป็นสิ่งที่ Microsoft Office for iPad ไม่มี

5. metro IU ที่ชาวบ้านชาวเมืองแสนชัง แต่เราชอบด้วยเหตุผลที่ว่ามันทำให้เราสามารถเล่น Facebook/ Line /Twitter ไปพร้อมๆ กะทำงานอย่างอื่นได้ (จริงๆ PC หรือ Tablet Windows 8.1 ก็ทำได้หมดน่ะล่ะ) ส่วนตัวต้องปรับตัวเล็กน้อยกับการใช้ Gesture บน Surface นิดหน่อยแม้ว่าปกติบน ThinkPad ก็ใช้ Windows 8.1 อยู่เพราะไม่คุ้นเคยกะ Touchscreen แต่พอใช้ไปไม่นานมากก็ชิน

สิ่งที่่ไม่ชอบ : 1. อะไรที่เคยไม่ชอบตอนเล่น Lenovo Yoga 11 ก็ยังคงไม่ชอบเหมือนเดิมคือ environment ห่วยมาก ไม่มี app ที่รองรับความบันเทิงได้เท่าที่ควร เกมสนุกๆ ก็ไม่ค่อยมีแต่ถ้าใช้แบบพอเพียงเน้น Microsoft Office Line Facebook Twitter ก็โอเคล่ะ แม้ว่า featureapp ส่วนใหญ่จะห่วยกว่าบน platform อื่น

2. Surface จะใช้งานได้ดีที่สุดเมื่อใช้คู่กะ cover แล้วที่ที่เหมาะจะใช้งานมันมากที่สุดคือวางอยู่บนโต๊ะ หรืออะไรก็ได้ที่เป็นพื้นผิวระนาบไม่ใช่ตัก เพราะฉะนั้นลืมไปได้ทันทีว่าถ้าสมมติกำลังนั่งรถเมล์ไปกลับบ้านแล้วนายโทรหาบอกให้แก้งานด่วนแล้วส่งทันที คุณจะสามารถควัก surface ขึ้นมาแก้งานโดยโฟกัสกะงานได้จริงจังโดยไม่ห่วงว่ามันจะหงายหลังไปนอนกะพื้น

3. อย่างที่บอกในสิ่งที่ไม่ชอบ 2. ว่า Surface จะใช้งานได้ดีที่สุดเมื่อใช้คู่กะ cover เพราะฉะนั้นมันจึงเหมาะกะการใช้งานในแนวนอนมากกว่าแนวตั้ง สูญเสียธรรมชาติความเป็น tablet ที่สามารถใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลดีๆ ที่เราจะไม่อ่าน file PDF บน Surface เพราะต้อง scroll ขึ้นลงเพื่ออ่านทั้งหน้า แทนที่จะอ่านได้ทั้งหน้าโดยไม่ต้อง scroll

4. เมื่อใช้งานขณะชาร์จไฟไปด้วย จะให้ความรู้สึกเหมือนใช้ MacBook Pro เพราะว่าถ้าเอามือไปสัมผัสเครื่องโดยตรงจะโดนไฟดูด ซึ่งก็พอเข้าใจได้เพราะว่าวัสดุที่ใช้ทำ Surface 2 เป็นอลูมิเนียม แต่ถึงจะเข้าใจได้ เราก็ไม่ชอบอยู่ดี

5. Adapter ชาร์จไฟ แม้ว่าจะมีข้อดีที่เป็นแบบแม่เหล็ก ทำให้เวลาเราเสียบชาร์จแล้วมีใครเผลอมาเดินเตะสายไฟ เครื่องเราก็จะไม่ร่วงลงมาแน่ๆ (จริงๆ ก็เหมือนกะ MacBook น่ะล่ะ) และสายไฟยาว ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องหาปลั๊กเสียบยาก อันนี้จริงๆ แอบปลื้ม แต่พอต้องยัดสารพัดลงกระเป๋าออกไปใช้งานแล้วไม่ปลื้มคือ แทนที่ปกติจะพก มือถือ 2 เครื่อง ไอแพด power bank 1 อัน สายชาร์จ 1 เส้น (ปกติเราพกเป็นสาย micro USB ที่มี lighting adapter) แล้วจบเหมือนปกติ มันไม่จบเพราะกลายเป็นต้องพก adapter Surface เพิ่มอีก 1 อัน ซึ่งขนาดก็ใหญ่เทอะทะมากเมื่อเทียบกะอย่างอื่น แถมเวลาคับขันก็ดันชาร์จกะ power bank ไม่ได้อีก

สรุป ถามว่าน่าซื้อมั้ย ถ้าคิดจะซื้อมาเพื่อใช้งาน Microsoft office โดยเฉพาะ ก็น่าซื้อล่ะ แต่ถ้าถามว่าราคาที่ตั้งไว้ 14,500+4490 บาท ถือว่าถูกมั้ย คำตอบคือแพงไป เพราะถ้าอยากได้ทั้งความบันเทิงและทำงานจริงๆ คุณอาจจะต้องควักกระเป๋าเงินเพื่อซื้อ tablet ตัวอื่นเพิ่ม สุดท้ายถามว่าส่วนตัวจะซื้อมาใช้มั้ย คิดว่าอาจจะซื้อมาใช้ถ้ามีราคา Education Price ซึ่งทำราคามาดีเหมือนตอน Surface RT แต่ถ้าราคาเต็มไม่ซื้อแน่นอน

กรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลก: ขอ (บ่น) อีกซักทีเหอะ

หลังจากเคยบ่นเรื่องโฆษณากรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลกไปตั้งแต่ปีก่อนใน blog เก่าเรื่องโฆษณาแสนฉาบฉวย อันนี้ และ อันนี้ วันนี้ก็ขอบ่นอีกซักทีเหอะนะ เพราะปีนี้ทั้งปีกทม. จัดให้เป็น “กรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลก” ละ แต่ผ่านมาครึ่งปี เห็นโครงการที่กทม. ทำแต่ละโครงการแล้วมันคัน ตอนแรกตั้งใจจะบ่นเงียบๆ ใน Google+ แต่ยิ่งพิมพ์ยิ่งยาวเลยคิดว่าเอามาลงใน Blog น่าจะดีกว่า

โดยส่วนตัวแล้วเห็นงานที่กทม. จัดภายใต้โครงการกรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลกหลายๆ งานแล้วปวดหัว คิดไม่ออกว่าการจัดงานอย่างที่เป็นอยู่นี้มันได้อะไรนอกจากได้หน้า เพราะพี่เน้นแต่ “หนังสือ” อย่างเดียวจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นจัดให้มีห้องสมุด จัดงานขายหนังสือเพิ่มเติมจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่จัดกันตามปกติอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่จุดประสงค์ของโครงการนี้แท้จริงแล้วคือการ generate “การอ่าน” การสร้างปัญญาให้แก่คน Continue reading

สังคมนิยมตัวเลข

ช่วงหลายสัปดาห์มานี้มีเรื่องให้หงุดหงิดใหญ่ๆ อยู่ 2 เรื่อง

เรื่องแรก

ประเด็นดราม่าใน Twitter กับในพันทิป เรื่องเงินเดือนผู้ชายที่จะมาแต่งงานด้วย ว่าควรจะมีเงินเดือนอย่างน้อย 50,000 บาทจึงจะสามารถดูแลฝ่ายหญิงได้ จากจุดเริ่มต้นนี้เองทำให้เกิดการถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์เป็นอันมากเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปคุยกันในประเด็นอื่นต่อ

เรื่องที่สอง

เนื่องจากตัวเองเป็นนักศึกษาภาคค่ำตกงาน เลยพยายามหางานทำไปด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ค้นพบว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการหางานคือ

เกรดเฉลี่ยสะสมหรือ G.P.A

งานที่น่าสนใจมักจะ require G.P.A ในระดับการศึกษาที่จบมาที่ 3.0 ทำให้คนที่เรียนหนังสือจบมาแบบลุ่มๆ ดอนๆ แบบเราจึงได้แต่มองเพราะคุณสมบัติเบื้องต้นไม่ผ่าน

แม้ความหงุดหงิดทั้งสองเรื่องจะต่างกันในแง่ที่ว่า เรื่องแรกเป็นเรื่องที่ไม่กระทบกับตัวเองตรงๆ เพราะไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย เนื่องจากเกิดและเติบโตมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ทั้งพ่อและแม่ต้องช่วยกันทำงาน เลยไม่เห็นว่าเงินเดือนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นสาระสำคัญในการแต่งงานเท่ากับความสามารถในการหาเงินของคนทั้งคู่ ส่วนเรื่องหลังเป็นเรื่องที่กระทบกับตัวเองโดยตรงเพราะมันทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนชีวิตกำลังติดกับอะไรบางอย่าง ที่ไม่สามารถปลดล็อคได้

แต่อย่างไรก็ดีทั้งสองเรื่องก็มีจุดร่วมที่ชวนหงุดหงิดไม่ต่างกัน

คือมันเป็นตัวสะท้อนสังคมว่า ในโลกของชนชั้นกลางกทม. แท้จริงแล้วเป็น “สังคมนิยมตัวเลข” Continue reading

Food Diary – ไมโลนมสดเย็น

ตะกี๊เพิ่งทำการทดลองชงไมโลสูตรใหม่ ที่ปรับปรุงมาจากสูตรสุดท้ายที่เคยทำกินเมื่อหลายเดือนก่อนอีกที ปรากฎว่าสูตรนี้กินอร่อยดีเลยอยากแบ่งปันให้ไปลองทำกินแก้ร้อนกันดู ไมโลที่ออกมาอาจจะเข้มข้นน้อยกว่าสูตรรถไมโลนิดหน่อย (เทียบจากความทรงจำอันเลือนลางสมัยประถม) แต่ก็กลมกล่อมดี

ชื่ออาหาร – ไมโลนมสดเย็น

ส่วนผสม – ผงไมโล น้ำร้อน และนมสดพลาสเจอร์ไรซ์พร่องมันเนย

วิธีทำ
1. ตักไมโลใส่แก้วขนาด 12 oz. (Starbuck Tall Size) จำนวน 2 ช้อนกินข้าวพูนๆ (ถ้าอยากให้หวานขึ้นอีกหน่อยก็เพิ่มจำนวนผงไมโลลงไปอีกประมาณครึ่งช้อนกินข้าว)

2. นำน้ำร้อนเทลงในแก้วที่ใส่ผงไมโลเล็กน้อย แค่พอให้คนแล้วผงไมโลละลาย คนไปเรื่อยๆ จนไมโลละลายดี เทนมพร่องมันเนยลงไปในส่วนผสมประมาณครึ่งแก้ว คนให้เข้ากัน

3. นำน้ำแข็งก้อนขนาดเล็ก (อยากให้เย็นไวก็น้ำแข็งบดหรือน้ำแข็งทุบ ไม่แนะนำน้ำแข็งยูนิตก้อนใหญ่ไป เด๋วมันไม่เย็น) ใส่ลงไปจนระดับไมโลนมสดของเราเกือบเต็มแก้ว คนต่อนิดๆ ให้น้ำแข็งเริ่มละลาย ก็พร้อมเสิร์ฟได้ทันที

จากขั้นตอนด้านบนในที่สุดก็ได้ออกมาไมโลนมสดเย็นรสกลมกล่อม ได้ทั้งรสชาติและกลิ่นชอคโกแลตจากไมโลหอมอร่อย ไม่มีกลิ่นนมอุ่นให้รำคาญใจ ลองทำกันแล้วได้ความว่ายังไง อย่าลืมมาคอมเมนต์บอกกันหน่อยนะ

ปล. ไม่แนะนำให้ใส่น้ำตาลเพิ่ม เพราะรสชาติจริงๆ ของผงไมโลเองก็หวานพออยู่แล้ว ถ้าใส่น้ำตาลลงไปมันจะหวานโดด ไม่อร่อย แต่ถ้าอยากได้หวานกว่านี้จริงๆ คิดว่านมข้นน่าจะพอช่วยท่านได้ (ยังไม่ได้ทดลองใส่นมข้น เพราะส่วนตัวไม่ทานเครื่องดื่มหวาน)

ปล.2 ขออภัยที่ไม่มีภาพประกอบ เนื่องจากตอนทำเป็นแค่ขั้นทดลองเลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ ส่วนหลังจากทำเสร็จก็ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เพราะรีบกินจนหมดด้วยความหิว – -“

Movie review – Iron Man 3 on IMAX 3D

หมายเหตุ – ส่วนตัวไม่ได้ดูหนังซุปเปอร์ฮีโร่ในจักรวาลของ Marvel มาพักใหญ่มาก (เรื่องสุดท้ายที่ดูคือ X-Men : The Last Stand) ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ เพราะงั้น Iron Man ภาคนี้จึงเป็นหนัง Marvel เรื่องแรกที่ดูในรอบ 7-8 ปีนี้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าก่อนหน้านี้ เราเองก็ไม่ได้ดู Iron Man ภาคก่อนหน้าหรือ The Avengers เลย ดังนั้นบลอคนี้จึงเขียนขึ้นบนพื้นฐานของคนที่ไม่มี Background เกี่ยวกับหนังเฟรนไชส์ชุดนี้มาก่อน

Iron Man 3 กำกับโดย Shan Black นักเขียนบทที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับซึ่งมีผลงานสร้างชื่อในฐานะผู้เขียนบทจาก Lethal Weapon (1987) โดยในภาคนี้ดำเนินเนื้อเรื่องต่อจาก The Avengers (2012) พูดถึงอาการนอนไม่หลับของ Tony Stark ที่เกิดขึ้นพร้อมกับเหตุระเบิดแบบไร้ร่องรอยหลายแห่งในสหรัฐฯ ซึ่งมีจอมวายร้ายอย่าง Mandarin อยู่เบื้องหลัง ทำให้ Stark ต้องสวมชุดเกราะ Iron Man ออกปกป้องสหรัฐฯ ให้พ้นภัยตรายอีกครั้ง

สำหรับบท ถ้าไม่ติดว่าเป็นหนังเดินตามสูตร (ตอนจบเผลอไปคิดนิดนึง ว่านี่มันหนังสูตรเจมส์ บอนด์ชัดๆ) ก็ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานหนังแอคชั่นกู้โลกสมัยนี้ และค่อนข้างเป็นมิตรกับคนที่ไม่ใช่สาวกเดนตายของ Marvel คือถ้าไม่เคยดู Iron Man 1, 2 หรือ The Avengers มาก่อนก็สามารถสนุกกับหนังไปได้เรื่อยๆ แม้ว่าติดขัดบ้างเล็กน้อยเกี่ยวกับบางประเด็นสำคัญในหนังอยู่บ้างก็ตามที แต่กระนั้นเองหนังก็ยังมาตกม้าตายในช่วงท้ายที่พยายามรวบรัดตัดตอนทุกอย่าง ราวกับนักศึกษาที่ป่วยเป็นอาหารเป็นพิษรีบทำข้อสอบให้เสร็จเพื่อวิ่งไปเข้าห้องน้ำ กล่าวคือหนังเลือกทีจะเฉลยปมสำคัญในเรื่องที่ปูมาในตอนเริ่มอย่างห้วนๆ น่ากังขา (อยากรู้ว่ากังขายังไง เชิญไปสัมผัสได้ที่โรงหนังใกล้บ้านท่าน) และไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าที่ควร ทำให้คนที่ค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องบทอย่างเราออกมาแบบมึนๆ พร้อมกับความรู้ว่า “พี่จบอย่างนี้เลยเหรอ” ที่เป็นเช่นนี้อาจคาดหมายได้ว่าเป็นเพราะทีมผู้สร้างต้องการจบซีรีย์เฉพาะของ Iron Man ไว้ที่ภาคนี้นั่นเอง Continue reading

Movie Review- Oblivion (2013) no spoil

Oblivion เป็นหนังเรื่องแรกของไตรมาสนี้ และเป็นเรื่องแรกหลังจากไม่ได้เข้าโรงหนังมาเป็นเวลาหลายเดือน เนื่องจากก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะคุณแฟนไม่ว่าง ไม่มีหนังถูกจริตของคุณเขาเข้าโรงเลย ก็เป็นเพราะเราไม่ว่างเสียเอง (เรื่องสุดท้ายที่ดูในโรงคือ Zero Dark Thirty) จนเมื่อ 2-3 วันก่อนคุณเขาเห็น Trailer Oblivion บนรถไฟฟ้าแล้วถูกใจ ประกอบกับต่างคนต่างว่างเลยลากกันไปดูเมื่อคืนที่ผ่านมา

Oblivion เป็นภาพยนต์แนว Action Sci-Fi แนวถนัดของ Joseph Kosinski ผู้กำกับ Tron : The Legacy ว่าด้วยโลกในอีก 60 กว่าปีข้างหน้า หลังจากมนุษย์ได้ทำสงครามกับจักรกลจากต่างดาวจนโลกเสียหายอย่างหนัก ทำให้มนุษย์ต้องย้ายออกไปอยู่นอกโลก เหลือไว้เพียงแต่ Jack และ Victoria คู่รักคู่หูที่ได้รับมอบหมายภารกิจเก็บตกทรัพยากรและกำจัดจักรกลต่างดาวที่ยังหลงเหลืออยู่บนพื้นโลก จนกระทั่ง Jack ได้พบกับ Julia ผู้รอดชีวิตในซากยานอวกาศบนพื้นโลก ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป Continue reading

Flurry’s Diary : ไม่สบายให้สังเกตอาการแล้วรีบไปหาหมอ อย่าซื้อยากินเอง

สารภาพว่าเราเป็นเด็กขี้โรค (และไม่ชอบออกกำลังกาย) คนนึงที่เกิดในครอบครัวที่รายล้อมไปด้วยบุคคลากรทางการแพทย์

พี่สาวเป็นเภสัชกร
น้องสาวเป็นนักศึกษาทันตแพทย์
แม่เป็นพยาบาลเก่า
แถมยังมีลูกพี่ลูกน้องเป็นหมอ 2 คน นักศึกษาแพทย์อีกหนึ่ง

และด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ตัวเราเองโดน educate ความรู้เกี่ยวกับยาและสาธารณสุขขั้นพื้นฐานมาตั้งแต่ยังเด็ก รวมถึงสิ่งนึงที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก และเห็นแม่ปฎิบัติตามนั้นอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่จำความได้ก็คือ

“ไม่สบายให้สังเกตอาการ แล้วรีบพาไปหาหมอ อย่าซื้อยากินเอง” Continue reading

เพราะต่างจึงงาม : จากดอกกุหลาบวาเลนไทน์ ถึงรายการตอบโจทย์ประเทศไทย

14 กุมภาพันธ์ 2013

ในชีวิตไม่เคยได้ดอกไม้วันวาเลนไทน์มาก่อนจนกระทั่งเมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา กุหลาบช่อสวยก็ได้ส่งผ่านจากมือที่อบอุ่นแข็งแรงคู่หนึ่งมาสู่มือเราอย่างไม่คาดคิด

หลังจากตื่นเต้นสำรวจกุหลาบช่อนั้นอยู่พักใหญ่ เราก็พบว่าความสวยของดอกไม้ช่อนั้นมันไม่ได้สวยเพราะทั้งช่อมีแต่กุหลาบแต่มาจากการที่มีลิลลี่สีขาวแซมโดดอยู่ดอกหนึ่งตัดกับสีแดงของกุหลาบที่เหลือมันเลยดูสวยดี

Continue reading

Mini Review : Cloud Atlas (2012) (No spoil)

เกริ่นนำ: จริงๆ ตั้งใจไว้ว่าจะใช้คำนำหน้าชื่อ Blog ที่เกี่ยวกับหนังทั้งหมดว่า “เดียวดายอย่างโรแมนติค” แต่บังเอิญว่าคราวนี้ไม่ได้ดูหนังคนเดียว เลยคิดว่าอาจจะไม่เหมาะซักเท่าไหร่กับการใช้วลีที่ว่า จึงเปลี่ยนมาเป็นอย่างที่เห็นแทน และเนื่องจาก Cloud Atlas ยังเป็นหนังที่ยืนโรงอยู่ (เพิ่งดูจบไปตอนสามทุ่ม) เพราะฉะนั้น Blog ที่จะเขียนต่อไปนี้จะไม่สปอยเนื้อหาหรือฉากสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น (อาจจะมีหลุดมาบ้างคือแคแรคเตอร์ตัวละคร แต่มันมีอยู่ใน Promo ทุกช่องทางแล้วนะ คงไม่เป็นไรมั้ง)

Cloud Atlas เป็นหนังดีที่ทำออกมาได้โดนใจสาวกพี่น้องวาชอสกี้อย่างเรามาก บทดัดแปลงมาจากหนังสือได้ดีมากจนรู้สึกว่าควรจะหา screenplay มาอ่านเทียบกับนิยายซักหลายๆ รอบเพื่อศึกษาแนวทางการดัดแปลงบทจากหนังสือมาเป็นภาพยนต์ตามความสนใจเรื่องบทภาพยนต์เป็นการส่วนตัว (ก่อนหน้านี้ก็เคยรู้สึกอย่างนี้มาแล้วกับหนัง 2 เรื่องคือ No Country for Old Men กะ Atonement) ด้วยบทพูดที่ลื่นไหล สวยงามดังบทกวีที่แฝงสัญญะทางปรัชญาและสาระเอาไว้เต็มที่แต่เป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนจับยัดใส่ปากตัวละครให้พูด จึงทำให้พวกบ้าดูหนังเชิงปรัชญาหลายๆ คนหลงรักได้ไม่ยากเลย
Continue reading