Movie Review- Oblivion (2013) no spoil

Oblivion เป็นหนังเรื่องแรกของไตรมาสนี้ และเป็นเรื่องแรกหลังจากไม่ได้เข้าโรงหนังมาเป็นเวลาหลายเดือน เนื่องจากก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะคุณแฟนไม่ว่าง ไม่มีหนังถูกจริตของคุณเขาเข้าโรงเลย ก็เป็นเพราะเราไม่ว่างเสียเอง (เรื่องสุดท้ายที่ดูในโรงคือ Zero Dark Thirty) จนเมื่อ 2-3 วันก่อนคุณเขาเห็น Trailer Oblivion บนรถไฟฟ้าแล้วถูกใจ ประกอบกับต่างคนต่างว่างเลยลากกันไปดูเมื่อคืนที่ผ่านมา

Oblivion เป็นภาพยนต์แนว Action Sci-Fi แนวถนัดของ Joseph Kosinski ผู้กำกับ Tron : The Legacy ว่าด้วยโลกในอีก 60 กว่าปีข้างหน้า หลังจากมนุษย์ได้ทำสงครามกับจักรกลจากต่างดาวจนโลกเสียหายอย่างหนัก ทำให้มนุษย์ต้องย้ายออกไปอยู่นอกโลก เหลือไว้เพียงแต่ Jack และ Victoria คู่รักคู่หูที่ได้รับมอบหมายภารกิจเก็บตกทรัพยากรและกำจัดจักรกลต่างดาวที่ยังหลงเหลืออยู่บนพื้นโลก จนกระทั่ง Jack ได้พบกับ Julia ผู้รอดชีวิตในซากยานอวกาศบนพื้นโลก ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้คาดว่าสาวกเดนตายหนัง Action Sci-Fi หลายคนก็น่าจะเดากันออกว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร นั่นหมายความว่าพลอตเรื่องของ Oblivion คือการผลิตซ้ำ ไม่ได้มีพลอตแหวกแนว แปลกใหม่ไปกว่าภาพยนต์แนวเดียวกันในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 หรือช่วงต้น 2000 อย่าง Armageddon (1998), The Matrix (1999) หรือ The Island (2005) แต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ดี ในส่วนของบทก็ยังมีความดีงามอยู่บ้าง คือความเป็นเอกภาพของเนื้อเรื่องและความสมเหตุสมผลของเหตุการณ์ในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฉากต่างๆ หรือการตัดสินใจของตัวละคร ทำให้เราสามารถคล้อยตามเนื้อเรื่องได้อย่างไม่ต้องสะกดจิต หรืออาศัยศรัทธาในการดู หรือการพยายามตีความใดๆ มากนัก ส่งผลให้เกิดความไหลลื่นทางอารมณ์ในการรับชม โดยไม่ต้องดูไปขมวดคิ้วไปอย่างหนัง Action Sci-Fi หลายๆ เรื่อง

ในส่วนของการแสดงส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ ทุกคนก็ทำได้ตามมาตรฐานของตัวเอง ไม่มีใครที่เด่นโดดเด้งจนรู้สึกประทับใจ แม้แต่นักแสดงเจ้าบทบาทอย่าง Morgan Freemanก็เล่นได้ตามมาตรฐานของเขาเอง ไม่ได้โชว์ฝีมืออะไรมากมายนัก เหตุที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะบทให้น้ำหนักที่ตัวพระเอกมากกว่าตัวละครทุกตัวตามสไตล์หนังวีรบุรุษ จึงทำให้นักแสดงคนอื่นๆ ไม่ได้โชว์ความสามารถทางการแสดงกันซักเท่าไหร่ ส่วนผู้รับบทนำและเป็นศูนย์กลางของเรื่องอย่าง Tom Cruise พี่ท่านก็เล่นเป็น Tom Cruise เหมือนหนังทุกเรื่องที่ผ่านมา ส่วนตัวจึงมองว่าภาพรวมการแสดงของเรื่องนี้แม้จะไม่ได้ดีมากมายอะไร แต่ขณะเดียวกันก็ไม่แย่จนทำให้หนังดูไม่สนุก

สำหรับภาพและ Special Effect ที่ส่วนตัวคิดว่านอกจากจะเป็นลายเซ็นของผู้กำกับแล้ว ยังเป็นจุดแข็งที่สุดของเรื่อง ซึ่งตัวหนังเองก็เคลมไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงว่าเป็นภาพยนต์เรื่องแรกที่ถ่ายทำด้วยระบบ True 4K ตลอดทั้งเรื่อง และเมื่อเข้าไปดูก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะภาพสวยมาก โดยเฉพาะในฉาก action ไล่ล่าช่วงกลางเรื่อง การตัดสลับฉากก็ทำได้ดี ไม่ทำให้ดูไปงงไป นอกจากนี้ลักษณะโทนสีที่ใช้เองก็ support กับการเล่าเรื่องแบบเดินหน้าเป็นเส้นตรงก่อนจะมี Twist ในช่วงกลางและปลายเรื่องตามสไตล์หนัง Action Sci-fi หลังจากช่วงปลายทศวรรษที่ 90 เป็นต้นมา ได้เป็นอย่างดี ทำให้หนังดูเพลินมากขึ้่นไปอีก ข้อสังเกตอีกประการนึงในหนังเรื่องนี้คือ แม้ว่าหนังจากขายความเป็น Action Sci-Fi อย่างชัดเจน แต่ขณะเดียวกันก็พยายามหลีกเลี่ยงการนำเสนอความรุนแรง หรือเซ็กส์ในหนังแบบจะแจ้งเหมือนในหนังหลายๆ เรื่อง ทำให้เราไม่เห็นฉากคนตายหรือการมีเซ็กส์ของตัวละครแบบชัดๆ เลยซักกะฉากเดียว (เข้าใจว่าเพื่อให้ได้รับเรต PG-13)

สรุป: Oblivion เป็นหนัง Action Sci-Fi ภาพสวย Special Effect งาม ที่มีพลอตเชยๆ เดาเรื่องได้ทั้งหมดตั้งแต่ 15 นาทีแรก แต่กระนั้นเองก็ยังดูได้เพลินๆ แบบไม่ต้องคิดตามมากนัก เหมาะกับวันล้าๆ ที่อยากได้รับความบันเทิงและออกมาแบบไม่เสียดายเงินในกระเป๋า

Leave a comment