กลับมาที่ 10,000 รูปแรกที่กดชัตเตอร์อีกครั้ง

อย่างที่เคยบอกไปใน blog คราวก่อนว่าช่วงเดือนที่ผ่านมาว่างมากขึ้นจนมีเวลากลับมาจับกล้องถ่ายรูป หลังจากไม่ได้จับกล้องเลยมา 3 ปีกว่า สิ่งนึงที่เราพบก็คือฝีมือการถ่ายภาพของตัวเองถอยหลังกลับไปช่วง 10,000 รูปแรกที่กดชัตเตอร์อีกครั้ง

บางคนอาจจะสงสัยว่าอะไรคือ 10,000 รูปแรกที่กดชัตเตอร์ คืองี้ Henri Cartier-Bresson ช่างภาพแนวแนว Street ระดับมหาอมตะนิรันด์กาลผู้ล่วงลับเคยกล่าวไว้ว่า “Your first 10,000 photographs are your worst” แปลเป็นภาษาไทยก็จะได้ความประมาณว่า “10,000 รูปแรกที่คุณกดชัตเตอร์น่ะคือรูปที่ห่วยที่สุดของคุณ”
Continue reading

พี่ขอสั้นๆ กับ Photoshop Express for iPad

ขอโทษด้วยที่หายไปนานมากกับการเขียน blog ยอมรับว่าหลังๆ ติดที่จะเขียนอะไรไม่ยาวบน Facebook และอะไรที่สั้นกว่านั้นบน Twitter และที่สำคัญที่สุดคือภารกิจการรียนปีสุดท้ายอันแสนถึกอดทนจนไม่มีไอเดียจะเขียน blog ทำให้ไม่ได้เขียนอะไรมาเป็นปีจนเกือบจะลืม url blog ตัวเองไปแล้ว ขอโทษทุกคนจริงๆ

ช่วงนี้เป็นอีกช่วงที่ชีวิตค่อนข้างว่างถึงว่างมาก เพราะผลสอบซ่อมตัวสุดท้ายออกแล้ว ทำให้เหมือนว่าจบแล้วแต่ยังไม่จบ เพราะ process ทางทะเบียนมันยังไม่เสร็จ เลยกลับมาทำงานอดิเรกที่เคยชอบมากแต่ไม่ได้ทำเลยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่เรียนนิติ ธรรมศาสตร์ คือการถ่ายรูปเพราะแค่เรียนกับเตรียมสอบก็ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว (อยากทำอย่างอื่นต้องโดดเรียนเอา) เลยได้ฤกษ์ซื้อกล้องใหม่เป็นของขวัญเรียนจบให้ตัวเองเป็น Mirrorless เล็กๆ ตัวนึง ซึ่งก็พบว่าฝีมือการถ่ายภาพของตัวเองกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง (ไว้เล่าให้ฟังวันหลังเนาะ)

และเพราะกลับมาถ่ายรูปอีกครั้งนี่ล่ะ จึงเป็นที่มาของ blog อันนี้เพราะส่วนตัวเป็นคนค่อนข้างชอบ edit รูปก่อนแชร์อยู่บ้าง  เลยพยายามหา app บน iPad มาใช้เพื่อ editไวๆ เพื่อ upload บางรูปขึ้น social network หลังจากถ่ายเสร็จไม่นาน แล้วก็ได้มาเจอกะของฟรีจาก Adobe (น้ำตาจะไหล เด๋วนี้พี่เค้านอกจากจะทำของถูกเป็นแล้ว ยังทำของฟรีคุณภาพใช้ได้เป็นด้วย) ซึ่งหลังจากลอง edit ไปได้ซักรูปสองรูปก็รีบเอามาเขียนเลย (ภาพประกอบถ่ายออกมาห่วยหน่อย ขออภัย)

ความรู้สึกหลังใช้ Adobe Photoshop Express for iPad (รูปประกอบเยอะมาก)

Continue reading

โฆษณาวันแม่ : เพราะเด็กไม่ควรถูกตี แต่สังคมนี้ยังอยากตีเด็ก

ห่างหายไปจากการเขียน blog นานมาก ไม่ใช่อะไรหรอกคือพักหลังมีปัญหากับการคิด การเขียนอะไรยาวๆ เวลาคิดหรือเขียนอะไรได้เลยไปลง Facebook ซะหมด

จริงๆ Entry นี้ก็มาจาก Facebook ตัวเองน่ะล่ะ แต่คิดว่าควรจะ edit เพิ่มเติมแล้วนำมาลงไว้ที่นี่ เพื่อความสะดวกในการกลับมาอ่านทบทวนความคิดตัวเองในอนาคตอีกที

 

ช่วงนี้ใกล้เทศกาลวันแม่แล้วขอซักนิดกะโฆษณาวันแม่ ซึ่งแน่นอนว่าโฆษณาที่เห็นกันทั่วบ้านทั่วเมืองเปิดย้ำโสตประสาทคงไม่พ้นโฆษณารังนกที่ยาย่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งทุกครั้งที่เราดู เราจะเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ และไม่อยากเห็นโฆษณานี้เอาซะเลย เพราะมันมีฉากที่เป็นการลงโทษเด็กด้วยการตี แล้วสื่อประมาณว่าเพราะยาย่าถูกตียาย่าเลยประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ทำให้มองได้ว่าโฆษณาชิ้นนี้กำลังส่งเสริมให้พ่อแม่ตีเด็กเพื่อเป็นการลงโทษ ซึ่งเป็นความรุนแรงในครอบครัวและต่อเด็กรูปแบบหนึ่ง Continue reading

พี่ขอสั้นๆ กะ Surface 2 – 5 ชอบ 5 ไม่ชอบ

พอดีคุณแฟนได้รับ Microsoft Surface 2 กะ type cover จากทาง Microsoft มาทดสอบ เราเลยจิ๊กมาใช้ทำรายงานก๊อกๆ แก๊กๆในช่วงหยุดสงกรานต์ หลังจากใช้มาได้ 3-4 วันเลยขอเขียนถึงมันซักนิดนึง

สิ่งที่ชอบ : 1. งานประกอบ เนี้ยบมากกกกกกกกกกกกก คุณภาพงานประกอบดีมาตั้งแต่ Surface RT แล้วและยังคงทำได้ดีเช่นเดิม

2. Type Cover ตอนใช้ครั้งสองครั้งแรกรู้สึกไม่ค่อยชอบ feeling การพิมพ์ของมันเท่าไหร่เพราะใช้คีย์บอร์ด ThinkPad มานานเลยไม่ชอบคีย์บอร์ดที่ feedback ต่ำ แต่พอใช้ไปซักพัก อืมมม มันก็เข้าท่าอยู่นแถมยังมีไฟ backlit ส่องด้วย แต่ในระยะปานกลางถ้าเก็บรักษาไม่ดี หรือใช้สมบุกสมบันสกปรกแน่นอน

3. จอ full hd เอามาดูถ่ายทอดสดเทศกาลดนตรี Coachella เปิดความละเอียดสูงสุดแล้วฟินแท้

4. Microsoft Office นี่เป็น Killing Feature ของ Surface 2 อย่างแท้จริง เพราะสามารถใช้งานได้แบบ full function แบบเดียวกันกับบน Microsoft Office 2013 และตัดคำได้สมบูรณ์แบบซึ่งเป็นสิ่งที่ Microsoft Office for iPad ไม่มี

5. metro IU ที่ชาวบ้านชาวเมืองแสนชัง แต่เราชอบด้วยเหตุผลที่ว่ามันทำให้เราสามารถเล่น Facebook/ Line /Twitter ไปพร้อมๆ กะทำงานอย่างอื่นได้ (จริงๆ PC หรือ Tablet Windows 8.1 ก็ทำได้หมดน่ะล่ะ) ส่วนตัวต้องปรับตัวเล็กน้อยกับการใช้ Gesture บน Surface นิดหน่อยแม้ว่าปกติบน ThinkPad ก็ใช้ Windows 8.1 อยู่เพราะไม่คุ้นเคยกะ Touchscreen แต่พอใช้ไปไม่นานมากก็ชิน

สิ่งที่่ไม่ชอบ : 1. อะไรที่เคยไม่ชอบตอนเล่น Lenovo Yoga 11 ก็ยังคงไม่ชอบเหมือนเดิมคือ environment ห่วยมาก ไม่มี app ที่รองรับความบันเทิงได้เท่าที่ควร เกมสนุกๆ ก็ไม่ค่อยมีแต่ถ้าใช้แบบพอเพียงเน้น Microsoft Office Line Facebook Twitter ก็โอเคล่ะ แม้ว่า featureapp ส่วนใหญ่จะห่วยกว่าบน platform อื่น

2. Surface จะใช้งานได้ดีที่สุดเมื่อใช้คู่กะ cover แล้วที่ที่เหมาะจะใช้งานมันมากที่สุดคือวางอยู่บนโต๊ะ หรืออะไรก็ได้ที่เป็นพื้นผิวระนาบไม่ใช่ตัก เพราะฉะนั้นลืมไปได้ทันทีว่าถ้าสมมติกำลังนั่งรถเมล์ไปกลับบ้านแล้วนายโทรหาบอกให้แก้งานด่วนแล้วส่งทันที คุณจะสามารถควัก surface ขึ้นมาแก้งานโดยโฟกัสกะงานได้จริงจังโดยไม่ห่วงว่ามันจะหงายหลังไปนอนกะพื้น

3. อย่างที่บอกในสิ่งที่ไม่ชอบ 2. ว่า Surface จะใช้งานได้ดีที่สุดเมื่อใช้คู่กะ cover เพราะฉะนั้นมันจึงเหมาะกะการใช้งานในแนวนอนมากกว่าแนวตั้ง สูญเสียธรรมชาติความเป็น tablet ที่สามารถใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลดีๆ ที่เราจะไม่อ่าน file PDF บน Surface เพราะต้อง scroll ขึ้นลงเพื่ออ่านทั้งหน้า แทนที่จะอ่านได้ทั้งหน้าโดยไม่ต้อง scroll

4. เมื่อใช้งานขณะชาร์จไฟไปด้วย จะให้ความรู้สึกเหมือนใช้ MacBook Pro เพราะว่าถ้าเอามือไปสัมผัสเครื่องโดยตรงจะโดนไฟดูด ซึ่งก็พอเข้าใจได้เพราะว่าวัสดุที่ใช้ทำ Surface 2 เป็นอลูมิเนียม แต่ถึงจะเข้าใจได้ เราก็ไม่ชอบอยู่ดี

5. Adapter ชาร์จไฟ แม้ว่าจะมีข้อดีที่เป็นแบบแม่เหล็ก ทำให้เวลาเราเสียบชาร์จแล้วมีใครเผลอมาเดินเตะสายไฟ เครื่องเราก็จะไม่ร่วงลงมาแน่ๆ (จริงๆ ก็เหมือนกะ MacBook น่ะล่ะ) และสายไฟยาว ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องหาปลั๊กเสียบยาก อันนี้จริงๆ แอบปลื้ม แต่พอต้องยัดสารพัดลงกระเป๋าออกไปใช้งานแล้วไม่ปลื้มคือ แทนที่ปกติจะพก มือถือ 2 เครื่อง ไอแพด power bank 1 อัน สายชาร์จ 1 เส้น (ปกติเราพกเป็นสาย micro USB ที่มี lighting adapter) แล้วจบเหมือนปกติ มันไม่จบเพราะกลายเป็นต้องพก adapter Surface เพิ่มอีก 1 อัน ซึ่งขนาดก็ใหญ่เทอะทะมากเมื่อเทียบกะอย่างอื่น แถมเวลาคับขันก็ดันชาร์จกะ power bank ไม่ได้อีก

สรุป ถามว่าน่าซื้อมั้ย ถ้าคิดจะซื้อมาเพื่อใช้งาน Microsoft office โดยเฉพาะ ก็น่าซื้อล่ะ แต่ถ้าถามว่าราคาที่ตั้งไว้ 14,500+4490 บาท ถือว่าถูกมั้ย คำตอบคือแพงไป เพราะถ้าอยากได้ทั้งความบันเทิงและทำงานจริงๆ คุณอาจจะต้องควักกระเป๋าเงินเพื่อซื้อ tablet ตัวอื่นเพิ่ม สุดท้ายถามว่าส่วนตัวจะซื้อมาใช้มั้ย คิดว่าอาจจะซื้อมาใช้ถ้ามีราคา Education Price ซึ่งทำราคามาดีเหมือนตอน Surface RT แต่ถ้าราคาเต็มไม่ซื้อแน่นอน

พี่ขอซักนิดกับ Microsoft Office for iPad – Microsoft Word

เนื่องจากเมื่อคืนนี้ Microsoft ได้เปิดตัว software อมตะนิรันด์การที่ผู้ใช้ไอแพดหลายคนรอคอยบน platform ใหม่ นั่นก็คือ Microsoft Office for iPad ( ตามข่าวนี้ใน Blognone ) ด้วยความที่ชีวิตเราค่อนข้างผูกติดกับการทำเอกสารด้วยชุดโปรแกรม Microsoft Office อยู่พอสมควร เลยไม่รอช้ารีบเปิด App Store เพื่อ Download มาใช้ทันที (ตอนนี้มีให้ download เฉพาะใน US Store นะจ๊ะThailand Store ยังไม่มี) ประกอบกับคุณแฟนและมิตรสหายหลายทั่นยุให้เขียนรีวิว (ปกติได้อะไรมาใช้ใหม่ๆ ไม่ค่อยเขียนรีวิวหรอก เพราะส่วนใหญ่เค้าก็รีวิวกันไปหมดแล้ว ขี้เกียจเขียน) เลยเกิดเป็น blog ตอนนี้ขึ้นมา

สำหรับ Microsoft Office for iPad ที่เพิ่งเปิดตัวไปนั้นนั้นประกอบไปด้วย app ขวัญใจมหาชน (จริงๆ ไม่เชิงขวัญใจมหาชนหรอก ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องเรียกว่าเป็น app ท่ามาตรฐานใช้กันทุกออฟฟิส) คือ Microsoft Word, Microsoft Excel และ Microsoft Powerpoint รวมกับ Micorsoft Onedrive และ Microsoft Onenote (และ Lync 2013 ซึ่งเป็น app คล้ายๆ กะ Skype ที่อยู่ใน Business package) ของเก่าเป็นทั้งหมด 5 app ซึ่งเมื่อ Download มาแล้วจะมีหน้าตาเป็นดังนี้ (อันนี้ยัดรวมกันเป็น Folder นะฮะถ้าไม่รวม Folder เอาไว้มันก็จะแยกเป็นแต่ละ app ไปเองซึ่งจะขอเขียนแค่ในส่วนของ Microsoft Word แค่ app เดียวนะฮะ เพราะการใช้งาน tablet ตามปกติของเราก็ใช้แค่ word processor เป็นหลักแค่นั้นล่ะ

25570328-180621.jpg

Continue reading

Law Student Diary – ศาลรัฐธรรมนูญลืมอะไรไปรึเปล่า

ไม่ได้เขียน blog มานานมากเพราะช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าง หรือถ้าว่างก็ไม่มีอะไรที่อยากเขียนถึงเป็นพิเศษ แต่หลังจากที่เห็นข่าวนี้ในประชาไท แล้วก็รู้สึกว่าควรเขียนอะไรถึงเหตุการณ์นี้บ้าง (ถึงมันจะเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นปลายปีก่อนแล้วก็ตาม) เพราะข้อความต่อไปนี้ชวนสะกิดต่อมอย่างบอกไม่ถูก

“การกระทำดังกล่าวยังกระทบต่อหลักเกณฑ์แบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ถือเป็นการให้อำนาจไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้ตรวจสอบหนังสือสัญญาระหว่างประเทศก่อนลงนามกับต่างประเทศ การที่ผู้ถูกร้องร่วมกันแก้ไขถ้อยคำโดยตัดข้อความว่าหนังสือสัญญาออกไปโดยให้เหตุผลว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่กำหนดให้รัฐสภาเห็นชอบหนังสือสัญญาระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ทำให้การเจรจาล่าช้า หลักการและเหตุผลของผู้ถูกร้องดังกล่าวปราศจากน้ำหนักและไม่อาจนำมาอ้างได้ เพราะเคยแก้ไขรัฐธรรมนูญกำหนดประเภทของหนังสือสัญญาไว้แล้ว การที่ผู้ถูกร้องแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาในประเด็นนี้จึงเป็นการลดทอนอำนาจของรัฐสภา และเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายบริหารในการทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศ เป็นการทำลายดุลยภาพในการตรวจสอบถ่วงดุล การกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 3 วรรค 1และวรรค 2”

พออ่านข้อความย่อหน้านี้จบ เราก็ได้แต่พึมพำกับตัวเองว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีสิทธิ์อะไรมาเที่ยวชี้นิ้วว่าคนโน้นคนนี้ทำผิดรัฐธรรมนูญ ทำลายหลักการแบ่งแยกอำนาจ ในเมื่อตัวเองตีความขยายอำนาจตัวเองออกไปอย่างไร้ขอบเขต จนทำลายหลักการแบ่งอำนาจด้วยการแทรกแซงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญของฝ่ายนิติบัญญัติ

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลืมไปรึเปล่าว่าอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาศัยอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ (pouvoir constituant) ซึ่งผู้แทนปวงชน (รัฐสภา) ได้รับมาจากประชาชน ซึ่งตุลาการมิอาจก้าวล่วงได้  เป็นเหตุให้รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติการตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ

หลักสำคัญเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐในกฎหมายมหาชนคือ ไม่มีกฎหมาย ไม่มีอำนาจ การที่องค์กรใดองค์กรหนึ่งจะสามารถใช้อำนาจมหาชนได้ย่อมต้องมีกฎหมายให้อำนาจให้กระทำ จากหลักดังกล่าวจะเห็นได้ว่า อันที่จริงแล้วศาลรัฐธรรมนูญไม่มีขอบอำนาจในการรับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นพิจารณาเลยด้วยซ้ำ แต่กลับอาศัยการตีความมาตรา 68 แบบเล่นแร่แปรธาตุ กลายเป็นมาตราครอบจักรวาล ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ เป็นการแทรกแซงอำนาจของสภา ทำลายการถ่วงดุลอำนาจไปเสียฉิบ

แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แสนตลกและย้อนแย้ง เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือ การเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติบางประการหรือทั้งหมดให้แตกต่างไปจากเดิม ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรบทบัญญัติที่ถูกแก้ไขย่อมก็ต้องขัดกับบทบัญญัติเดิมในรัฐธรรมนูญเสมอ นั่นหมายความว่าประเทศจะติดล็อค ไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญได้ตลอดไป

เว้นแต่จะยุบศาลรัฐธรรมนูญทิ้งหรือทหารออกมารัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญอีกรอบ

กรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลก: ขอ (บ่น) อีกซักทีเหอะ

หลังจากเคยบ่นเรื่องโฆษณากรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลกไปตั้งแต่ปีก่อนใน blog เก่าเรื่องโฆษณาแสนฉาบฉวย อันนี้ และ อันนี้ วันนี้ก็ขอบ่นอีกซักทีเหอะนะ เพราะปีนี้ทั้งปีกทม. จัดให้เป็น “กรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลก” ละ แต่ผ่านมาครึ่งปี เห็นโครงการที่กทม. ทำแต่ละโครงการแล้วมันคัน ตอนแรกตั้งใจจะบ่นเงียบๆ ใน Google+ แต่ยิ่งพิมพ์ยิ่งยาวเลยคิดว่าเอามาลงใน Blog น่าจะดีกว่า

โดยส่วนตัวแล้วเห็นงานที่กทม. จัดภายใต้โครงการกรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลกหลายๆ งานแล้วปวดหัว คิดไม่ออกว่าการจัดงานอย่างที่เป็นอยู่นี้มันได้อะไรนอกจากได้หน้า เพราะพี่เน้นแต่ “หนังสือ” อย่างเดียวจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นจัดให้มีห้องสมุด จัดงานขายหนังสือเพิ่มเติมจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่จัดกันตามปกติอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่จุดประสงค์ของโครงการนี้แท้จริงแล้วคือการ generate “การอ่าน” การสร้างปัญญาให้แก่คน Continue reading

สังคมนิยมตัวเลข

ช่วงหลายสัปดาห์มานี้มีเรื่องให้หงุดหงิดใหญ่ๆ อยู่ 2 เรื่อง

เรื่องแรก

ประเด็นดราม่าใน Twitter กับในพันทิป เรื่องเงินเดือนผู้ชายที่จะมาแต่งงานด้วย ว่าควรจะมีเงินเดือนอย่างน้อย 50,000 บาทจึงจะสามารถดูแลฝ่ายหญิงได้ จากจุดเริ่มต้นนี้เองทำให้เกิดการถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์เป็นอันมากเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปคุยกันในประเด็นอื่นต่อ

เรื่องที่สอง

เนื่องจากตัวเองเป็นนักศึกษาภาคค่ำตกงาน เลยพยายามหางานทำไปด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ค้นพบว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการหางานคือ

เกรดเฉลี่ยสะสมหรือ G.P.A

งานที่น่าสนใจมักจะ require G.P.A ในระดับการศึกษาที่จบมาที่ 3.0 ทำให้คนที่เรียนหนังสือจบมาแบบลุ่มๆ ดอนๆ แบบเราจึงได้แต่มองเพราะคุณสมบัติเบื้องต้นไม่ผ่าน

แม้ความหงุดหงิดทั้งสองเรื่องจะต่างกันในแง่ที่ว่า เรื่องแรกเป็นเรื่องที่ไม่กระทบกับตัวเองตรงๆ เพราะไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย เนื่องจากเกิดและเติบโตมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ทั้งพ่อและแม่ต้องช่วยกันทำงาน เลยไม่เห็นว่าเงินเดือนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นสาระสำคัญในการแต่งงานเท่ากับความสามารถในการหาเงินของคนทั้งคู่ ส่วนเรื่องหลังเป็นเรื่องที่กระทบกับตัวเองโดยตรงเพราะมันทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนชีวิตกำลังติดกับอะไรบางอย่าง ที่ไม่สามารถปลดล็อคได้

แต่อย่างไรก็ดีทั้งสองเรื่องก็มีจุดร่วมที่ชวนหงุดหงิดไม่ต่างกัน

คือมันเป็นตัวสะท้อนสังคมว่า ในโลกของชนชั้นกลางกทม. แท้จริงแล้วเป็น “สังคมนิยมตัวเลข” Continue reading

Food Diary – ไมโลนมสดเย็น

ตะกี๊เพิ่งทำการทดลองชงไมโลสูตรใหม่ ที่ปรับปรุงมาจากสูตรสุดท้ายที่เคยทำกินเมื่อหลายเดือนก่อนอีกที ปรากฎว่าสูตรนี้กินอร่อยดีเลยอยากแบ่งปันให้ไปลองทำกินแก้ร้อนกันดู ไมโลที่ออกมาอาจจะเข้มข้นน้อยกว่าสูตรรถไมโลนิดหน่อย (เทียบจากความทรงจำอันเลือนลางสมัยประถม) แต่ก็กลมกล่อมดี

ชื่ออาหาร – ไมโลนมสดเย็น

ส่วนผสม – ผงไมโล น้ำร้อน และนมสดพลาสเจอร์ไรซ์พร่องมันเนย

วิธีทำ
1. ตักไมโลใส่แก้วขนาด 12 oz. (Starbuck Tall Size) จำนวน 2 ช้อนกินข้าวพูนๆ (ถ้าอยากให้หวานขึ้นอีกหน่อยก็เพิ่มจำนวนผงไมโลลงไปอีกประมาณครึ่งช้อนกินข้าว)

2. นำน้ำร้อนเทลงในแก้วที่ใส่ผงไมโลเล็กน้อย แค่พอให้คนแล้วผงไมโลละลาย คนไปเรื่อยๆ จนไมโลละลายดี เทนมพร่องมันเนยลงไปในส่วนผสมประมาณครึ่งแก้ว คนให้เข้ากัน

3. นำน้ำแข็งก้อนขนาดเล็ก (อยากให้เย็นไวก็น้ำแข็งบดหรือน้ำแข็งทุบ ไม่แนะนำน้ำแข็งยูนิตก้อนใหญ่ไป เด๋วมันไม่เย็น) ใส่ลงไปจนระดับไมโลนมสดของเราเกือบเต็มแก้ว คนต่อนิดๆ ให้น้ำแข็งเริ่มละลาย ก็พร้อมเสิร์ฟได้ทันที

จากขั้นตอนด้านบนในที่สุดก็ได้ออกมาไมโลนมสดเย็นรสกลมกล่อม ได้ทั้งรสชาติและกลิ่นชอคโกแลตจากไมโลหอมอร่อย ไม่มีกลิ่นนมอุ่นให้รำคาญใจ ลองทำกันแล้วได้ความว่ายังไง อย่าลืมมาคอมเมนต์บอกกันหน่อยนะ

ปล. ไม่แนะนำให้ใส่น้ำตาลเพิ่ม เพราะรสชาติจริงๆ ของผงไมโลเองก็หวานพออยู่แล้ว ถ้าใส่น้ำตาลลงไปมันจะหวานโดด ไม่อร่อย แต่ถ้าอยากได้หวานกว่านี้จริงๆ คิดว่านมข้นน่าจะพอช่วยท่านได้ (ยังไม่ได้ทดลองใส่นมข้น เพราะส่วนตัวไม่ทานเครื่องดื่มหวาน)

ปล.2 ขออภัยที่ไม่มีภาพประกอบ เนื่องจากตอนทำเป็นแค่ขั้นทดลองเลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ ส่วนหลังจากทำเสร็จก็ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เพราะรีบกินจนหมดด้วยความหิว – -“

Movie review – Iron Man 3 on IMAX 3D

หมายเหตุ – ส่วนตัวไม่ได้ดูหนังซุปเปอร์ฮีโร่ในจักรวาลของ Marvel มาพักใหญ่มาก (เรื่องสุดท้ายที่ดูคือ X-Men : The Last Stand) ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ เพราะงั้น Iron Man ภาคนี้จึงเป็นหนัง Marvel เรื่องแรกที่ดูในรอบ 7-8 ปีนี้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าก่อนหน้านี้ เราเองก็ไม่ได้ดู Iron Man ภาคก่อนหน้าหรือ The Avengers เลย ดังนั้นบลอคนี้จึงเขียนขึ้นบนพื้นฐานของคนที่ไม่มี Background เกี่ยวกับหนังเฟรนไชส์ชุดนี้มาก่อน

Iron Man 3 กำกับโดย Shan Black นักเขียนบทที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับซึ่งมีผลงานสร้างชื่อในฐานะผู้เขียนบทจาก Lethal Weapon (1987) โดยในภาคนี้ดำเนินเนื้อเรื่องต่อจาก The Avengers (2012) พูดถึงอาการนอนไม่หลับของ Tony Stark ที่เกิดขึ้นพร้อมกับเหตุระเบิดแบบไร้ร่องรอยหลายแห่งในสหรัฐฯ ซึ่งมีจอมวายร้ายอย่าง Mandarin อยู่เบื้องหลัง ทำให้ Stark ต้องสวมชุดเกราะ Iron Man ออกปกป้องสหรัฐฯ ให้พ้นภัยตรายอีกครั้ง

สำหรับบท ถ้าไม่ติดว่าเป็นหนังเดินตามสูตร (ตอนจบเผลอไปคิดนิดนึง ว่านี่มันหนังสูตรเจมส์ บอนด์ชัดๆ) ก็ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานหนังแอคชั่นกู้โลกสมัยนี้ และค่อนข้างเป็นมิตรกับคนที่ไม่ใช่สาวกเดนตายของ Marvel คือถ้าไม่เคยดู Iron Man 1, 2 หรือ The Avengers มาก่อนก็สามารถสนุกกับหนังไปได้เรื่อยๆ แม้ว่าติดขัดบ้างเล็กน้อยเกี่ยวกับบางประเด็นสำคัญในหนังอยู่บ้างก็ตามที แต่กระนั้นเองหนังก็ยังมาตกม้าตายในช่วงท้ายที่พยายามรวบรัดตัดตอนทุกอย่าง ราวกับนักศึกษาที่ป่วยเป็นอาหารเป็นพิษรีบทำข้อสอบให้เสร็จเพื่อวิ่งไปเข้าห้องน้ำ กล่าวคือหนังเลือกทีจะเฉลยปมสำคัญในเรื่องที่ปูมาในตอนเริ่มอย่างห้วนๆ น่ากังขา (อยากรู้ว่ากังขายังไง เชิญไปสัมผัสได้ที่โรงหนังใกล้บ้านท่าน) และไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าที่ควร ทำให้คนที่ค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องบทอย่างเราออกมาแบบมึนๆ พร้อมกับความรู้ว่า “พี่จบอย่างนี้เลยเหรอ” ที่เป็นเช่นนี้อาจคาดหมายได้ว่าเป็นเพราะทีมผู้สร้างต้องการจบซีรีย์เฉพาะของ Iron Man ไว้ที่ภาคนี้นั่นเอง Continue reading